.

Adobe Premiere

ช็อตประเภทต่างๆ ในภาพยนตร์

กำหนดกรอบวิสัยทัศน์ของคุณด้วยการฝึกฝนศิลปะแห่งการถ่ายช็อตเชิงภาพยนตร์จนเชี่ยวชาญ เรียนรู้ว่าถึงเวลาและวิธีการใช้ประเภทของช็อตกล้องที่นิยมใช้กันมากที่สุด

เริ่มทดลองใช้ฟรี สำรวจ Premiere Pro

ช็อตมุมต่ำของบุคคล

วิธีการกำหนดกรอบภาพยนตร์ของคุณ

Premiere Pro คือเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพวิดีโอที่ทรงพลัง ซึ่งจะช่วยทำให้ฟุตเทจของคุณออกมาดูดีที่สุด

  • ช็อตกล้องประเภทต่างๆ จะสื่อข้อมูลที่แตกต่างกันเกี่ยวกับตัวละครและสถานที่ในโลกที่พวกเขาอยู่
  • ช็อตมุมกว้างและระยะกลางเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงให้เห็นถึงสถานที่และตำแหน่งที่ตั้ง
  • ช็อตระยะใกล้ มุมมองแทนสายตา และมุมกล้องต่างๆ ในรายการสิ่งที่ต้องถ่ายทำของคุณจะช่วยให้ทราบถึงอารมณ์ของตัวละคร

ระยะของกล้องสามารถสร้างความแตกต่างได้

ความยาวโฟกัสส่งผลต่อทั้งขอบเขตภาพและระยะทางที่เห็นระหว่างวัตถุในเฟรม ความยาวโฟกัสที่กว้างขึ้น (เช่น 24 มม.) จะให้ขอบเขตภาพที่กว้างขึ้นและทำให้วัตถุดูห่างกันมากขึ้น ขณะที่ความยาวโฟกัสที่ยาวขึ้น (เช่น 85 มม.) จะบีบอัดฉากทำให้วัตถุดูใกล้กันมากขึ้น

ความยาวโฟกัสยังมีผลต่อระยะชัดลึก โดยทั่วไปแล้วความยาวโฟกัสที่ยาวขึ้นจะทำให้ระยะชัดลึกนั้นตื้นลง ซึ่งสามารถใช้เพื่อแยกตัวแบบออกจากพื้นหลังได้

ระยะของกล้องที่แตกต่างกันสามารถสะท้อนถึงสภาวะทางอารมณ์ของตัวละครได้ เมื่อคุณต้องการสื่อสารเส้นทางเชิงอารมณ์ของตัวละคร คุณสามารถเริ่มต้นด้วยช็อตมุมกว้างแล้วค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นช็อตระยะใกล้เมื่อตัวละครเริ่มแสดงอารมณ์ที่เปราะบางขึ้น วิธีนี้จะสร้างการเล่าเรื่องที่สะท้อนสภาวะภายในของตัวละครผ่านภาพได้อย่างชัดเจน

ช็อตมุมกล้องจากด้านหลังเชิงภาพยนตร์ของชายที่กำลังแล่นเรือ
Master Shot มุมกว้างของเทศกาลบอลลูนลมร้อน

สำรวจประเภทของช็อตกล้อง

การจัดองค์ประกอบของช็อตเกี่ยวข้องกับการจัดเรียงองค์ประกอบภาพภายในเฟรมเพื่อสร้างรูปภาพที่สวยงามและมีความหมาย องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ความสมดุล ความสมมาตร เส้นนำสายตา และพื้นที่ว่าง ในการเล่าเรื่องผ่านภาพ การจัดองค์ประกอบสามารถชี้นำสายตาของผู้ชม เน้นองค์ประกอบที่สำคัญ และถ่ายทอดอารมณ์หรือความตึงเครียดได้ ตัวอย่างเช่น การใช้พื้นที่ว่างรอบตัวละครสามารถกระตุ้นความรู้สึกโดดเดี่ยวหรือความเปราะบางได้

กล้องคุณภาพสูงที่เป็นมาตรฐานของสมาร์ทโฟนในปัจจุบันทำให้การสร้างภาพยนตร์สามารถเข้าถึงผู้ชมได้กว้างขวางขึ้น เปิดโอกาสให้สามารถนำเสนอเสียงและเพอร์สเปกทีฟใหม่ๆ ได้ ความสะดวกในการใช้งานและพกพาของอุปกรณ์มือถือยังทำให้สามารถทดลองมุมกล้องที่แปลกใหม่ เพอร์สเปกทีฟ และช็อตภาพยนตร์ประเภทใหม่ๆ ได้ ซึ่งนำไปสู่สไตล์การถ่ายทำที่ใหม่และเป็นไดนามิกมากขึ้น

ช็อตมุมกว้าง

ช็อตมุมกว้างมักใช้ความยาวโฟกัสที่กว้างขึ้น (16-35 มม.) เพื่อจับภาพฉากที่กว้างขวาง โดยช็อตดังกล่าวอาจต้องการค่า F-stop ที่สูงขึ้น (f/8-f/11) เพื่อให้ได้ระยะชัดลึกที่มากขึ้น

ช็อตมุมกล้องแบบกว้างของเทือกเขา

Master Shot

ช็อตเหล่านี้คือช็อตที่จับภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในฉากและมักใช้ช็อตระยะไกลหรือช็อตมุมกว้าง เนื่องจากเป็นช็อตที่เก็บทุกรายละเอียด ประเภทช็อตกล้องเหล่านี้จึงขาดไม่ได้ในการถ่ายช็อตพื้นฐาน นักตัดต่อสามารถปล่อยให้ฉากไหลไปได้โดยตัดต่อ Master Shot ใส่เข้าไประหว่างช่องว่างในเหตุการณ์หรือบทสนทนา

Two Shot

เราเรียกช็อตที่มีตัวแบบสองตัวว่า Two Shot ปฏิสัมพันธ์ของตัวแบบ ระยะห่างจากอีกฝ่าย และภาษากายที่แสดงภายใน Two Shot สามารถบอกผู้ชมได้หลายอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแบบ "เราพยายามถ่าย Two Shot สำหรับภาพส่วนใหญ่ในซีน และใช้ Single Shot หรือ Tight Shot เมื่อถึงบทหรือรายละเอียดสำคัญ" Ruckus Skye กล่าว

Medium shot

ช็อตระยะไกลปานกลางมักจะใช้ความยาวโฟกัสมาตรฐาน (35-50 มม.) เพื่อให้ได้เพอร์สเปกทีฟที่เป็นธรรมชาติ การจัดแสงมักจะช่วยสร้างบาลานซ์ให้ตัวแบบและพื้นหลัง

Cowboy Shot

ในช่วงทศวรรษ 1930 ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันเริ่มใช้สไตล์ช็อตภาพยนตร์แบบหนึ่งที่เรียกว่า Cowboy Shot ซึ่งถ่ายนักดวลปืนตั้งแต่หมวกจนถึงกลางน่องเพื่อให้เห็นซองปืน ภาพยนตร์ในยุคนี้ใช้ Cowboy Shot เพื่อแสดงภาษากายของตัวแบบและพื้นหลังบางส่วนโดยที่ยังคงจับภาพสีหน้าของตัวแบบด้วย ยกตัวอย่างเช่น ใน Wonder Woman (วันเดอร์วูแมน) Cowboy Shot จับภาพไดอาน่าเดินข้ามสนามรบ ต่อยกระสุนจนกระเด็นออกไป พร้อมกับยิ้มเมื่อรับรู้ถึงพลังของตัวเธอเอง

Over-the-shoulder Shot

ช็อตกล้องแบบข้ามไหล่มักจะเป็นช็อตย้อนกลับที่ใช้ตั้งแต่เลนส์มาตรฐานถึงเลนส์ระยะไกลเล็กน้อย (50-85 มม.) การจัดแสงจำเป็นต้องบาลานซ์ทั้งสองตัวแบบในขณะที่รักษาความลึกของภาพไว้

Reaction Shot

สิ่งสำคัญในภาพไม่ใช่คนที่กำลังพูดอยู่เสมอไป Reaction Shot คือช็อตระยะใกล้ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินเรื่องและการพัฒนาตัวละคร “ช่วงเวลาในการแสดงที่ฉันชอบที่สุดส่วนหนึ่งเป็นตอนที่นักแสดงกำลังฟังอยู่” Ruckus Skye กล่าว

ช็อตกล้องระยะใกล้ของนกนางนวลที่กำลังกินขนมปังชิ้นหนึ่งที่ถืออยู่

Close-up Shot

ช็อตระยะใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อตระยะใกล้มาก มักใช้ความยาวโฟกัสที่ยาวขึ้น (85-135 มม.) เพื่อบีบอัดลักษณะใบหน้าและเบลอพื้นหลัง ผู้สร้างภาพยนตร์อาจใช้รูรับแสงที่กว้างขึ้น (f/1.8-f/2.8) เพื่อให้ระยะชัดลึกออกมาตื้น

Push-in

ในทางกลับกัน การถ่ายแบบ Push-out จะเน้นให้เห็นความโดดเดี่ยวของตัวละคร “สิ่งที่คุณทำจะเป็นการเพิ่มโลกรอบๆ ตัวละครและระยะห่างระหว่างผู้ชมกับตัวแบบ” Stoler กล่าว ช็อตที่มีการเคลื่อนกล้องประเภทเหล่านี้มักต้องใช้ดอลลี จิ๊บ หรือ Steadicam

Cut-ins/Insert Shot

ช็อตระยะใกล้เหล่านี้จับภาพรายละเอียดเล็กๆ เช่น มือหรือเท้าของตัวแบบ หากตัวละครมองไปที่ข้อความบนโทรศัพท์ของตนเอง ผู้กำกับอาจต้องการจับภาพมุมกล้องระยะใกล้ของหน้าจอโทรศัพท์ Cutaway นั้นตรงข้ามกับ Cut-in ซึ่งตัดภาพจากตัวแบบเป็นอย่างอื่น เช่น จากสีหน้าตื่นตกใจของนักแสดงเป็นสุนัขที่กำลังเห่า หรือจากลูกบอลที่ข้ามเส้นประตูเป็นกองเชียร์โห่ร้องที่อัฒจันทร์ การรวบรวมประเภทของช็อตในภาพยนตร์เช่นนี้สามารถมีประโยชน์ในการตัดต่อหลายๆ เทคของฉากเดียวกันเข้าด้วยกันได้

Point-of-view Shot

ช็อตมุมมองแทนสายตาสามารถใช้ความยาวโฟกัสได้หลากหลายโดยขึ้นอยู่กับเอฟเฟกต์ที่ต้องการ ผู้สร้างภาพยนตร์อาจใช้การเคลื่อนกล้องแบบถือด้วยมือหรือการเคลื่อนกล้องที่มีการปรับความเสถียรเพื่อเลียนแบบการเคลื่อนไหวของศีรษะตามธรรมชาติ

Dutch Angle Shot

ช็อตมุมเอียง (Dutch angle) สามารถทำได้ด้วยเลนส์ใดก็ได้ กุญแจสำคัญคือต้องเอียงกล้องออกจากแกนแนวนอน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 15-45 องศา

มุมกล้องและการสื่อความหมาย

ความสูงของกล้องที่สัมพันธ์กับตัวแบบมีผลต่อการรับรู้ถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจของผู้ชม มุมกล้องต่ำ (มองขึ้น) ทำให้ตัวแบบดูมีอำนาจมากขึ้น ในขณะที่มุมกล้องสูง (มองลง) สามารถทำให้ตัวแบบดูอ่อนแอกว่า มุมกล้องต่ำสุดหรือสูงสุดสามารถสร้างการบิดเบือนทางมุมมอง ทำให้ลักษณะของตัวแบบที่ใกล้กล้องดูมีความเกินจริงมากขึ้น คุณสามารถเน้นย้ำการบิดเบือนนี้เพิ่มเติมได้โดยการใช้เลนส์มุมกว้างใกล้ๆ ตัวแบบ

ช็อตประเภท Master Shot ของน้ำทะเลสีฟ้าใสและชายหาด

Bird’s-eye View

เนื่องจากมองจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง ภาพทางอากาศนี้อาจสื่อถึงความเล็กจ้อยของตัวแบบด้านล่างหรือความกว้างใหญ่ไพศาลของสภาพแวดล้อมรอบตัวแบบ

Eye-level Shot

มุมระดับสายตาคือมุมที่เราเห็นในทุกๆ วัน มุมกล้องที่พยายามไม่ตัดสินอะไรใดๆ นี้ ไม่ส่งผลใดๆ ต่อการเล่าเรื่องเหมือนกับการถ่ายจากด้านบนหรือด้านล่างของตัวแบบ สามีภรรยา Skyes หลีกเลี่ยงไม่ใช้มุม Eye-level ในงานของพวกเขา "เพราะไม่บอกอะไรเลย" Lane Skye อธิบาย "เมื่อคุณก้มลงมองจากด้านบนตัวแบบ ตัวแบบจะดูเล็กกว่า" Ruckus Skye เสริม "ตัวแบบอาจไม่มั่นใจหรือมีอำนาจเท่าคุณ และหากคุณมองซูเปอร์ฮีโร่คนใดก็ตาม คุณมักจะต้องมองขึ้นไป นั่นถือเป็นมุมมองที่ซ้ำซากจำเจ แต่คุณสามารถนำไปใช้ได้ในจุดที่เล็กกว่านี้ได้และแอบส่งผลต่อจิตใต้สำนึกมากกว่า”

ช็อตกล้องมุมต่ำของชายคนหนึ่งที่กำลังกระโดดดังค์บาสเก็ตบอล

Low Angle Shot

ช็อตใดๆ ที่มองขึ้นไปที่ตัวละครถือเป็นช็อตมุมต่ำ ไม่ว่าจะเป็นกล้องที่ตั้งอยู่เพียงไม่กี่นิ้วต่ำกว่าระดับสายตาของตัวละคร หรืออยู่ที่เท้าของพวกเขาเองก็ตาม เนื่องจากช็อตมุมต่ำให้ความรู้สึกว่าตัวละครกำลังยืนค้ำอยู่เหนือผู้ชม ผู้กำกับจึงใช้ช็อตเหล่านี้เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของพลังและอำนาจ ช็อตประเภทนี้ช่วยให้ผู้ชมเชื่อมโยงและเข้าใจถึงตัวละครที่ทรงพลังและไร้เทียมทาน ดังนั้นจึงมักใช้ในภาพยนตร์ต่อสู้หรือภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ ในภาพยนตร์ตะวันตกคลาสสิกเรื่อง Stagecoach ตัวละครฮีโร่ของ John Wayne ได้มีการเปิดตัวด้วยช็อตมุมต่ำที่ทำให้ตัวละครดังกล่าวดูใหญ่โตและมีอำนาจ

High Angle Shot

ในช็อตมุมสูงกล้องจะตั้งอยู่เหนือศีรษะของนักแสดงและมองลงไปยังพวกเขา มุมมองนี้ทำให้ตัวละครดูตัวเล็ก เปราะบาง หรือหลงอยู่ในสภาพแวดล้อมของตน ช็อตมุมสูงมักใช้ในภาพยนตร์สยองขวัญ ระทึกขวัญ หรือภาพยนตร์ที่ตึงเครียด เนื่องจากสามารถถ่ายทอดอันตรายหรือความตกใจได้ ภาพยนตร์เรื่อง Titanic ในตอนต้นนั้น James Cameron ได้ใช้ช็อตมุมสูงของโรสที่มองลงไปยังมหาสมุทรเพื่อสื่อถึงความไร้พลังของเธอในโลกที่เธอไม่สามารถที่จะตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตได้ด้วยตนเอง เช่นเดียวกันกับในแฟรนไชส์ Harry Potter ที่มักจะถ่ายด็อบบี้ซึ่งเป็นเอลฟ์บ้านด้วยช็อตมุมสูงเกือบทุกครั้ง โดยวิธีนี้จะช่วยเสริมสัดส่วนที่เล็กจิ๋วและบทบาทเล็กๆ ของเขาในฐานะคนรับใช้ที่ต่ำต้อย

คนในฉากถ่ายทำกำลังใช้สเลทคัทฉาก

พยายามถ่ายช็อตที่ทั้งสวยและเข้ากับธีมเรื่อง

การจัดลำดับช็อตเกี่ยวข้องกับการจัดเรียงช็อตต่างๆ เพื่อสร้างการไหลลื่นของเรื่องราวที่สอดคล้องกัน ปัจจัยที่ต้องพิจารณาจะรวมไปถึงทิศทางของภาพบนหน้าจอ การจับคู่ระดับสายตา และการเปลี่ยนแปลงขนาดช็อต (เช่น จากมุมกว้างไปยังช็อตระยะใกล้) การปรับจังหวะนั้นควบคุมผ่านระยะเวลาของช็อตและจังหวะของการตัดภาพ การตัดภาพที่เร็วขึ้นมักสร้างความตึงเครียดหรือความตื่นเต้น เช่น ในโฆษณา ขณะที่เทคที่ยาวขึ้นสามารถสร้างการทิ้งช่วงให้สงสัยหรือเปิดโอกาสให้ไตร่ตรองความคิดได้อย่างเช่นในสารคดี กฎ 180 องศามักใช้เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางพื้นที่ระหว่างช็อตต่างๆ

คุณอาจสนใจสิ่งเหล่านี้ด้วย

มีคำถามใช่ไหม เรามีคำตอบ

This Adobe site doesn't match your location

Based on your location, we think you may prefer the United States website, where you'll get regional content, offerings, and pricing.